หัวข้อ   “ คาดการณ์ทิศทางเศรษฐกิจและการส่งออกปี 2558
นักเศรษฐศาสตร์ คาดปี 2558 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัว 3.8% การส่งออกจะขยายตัว 3.7%
เงินเฟ้ออยู่ที่ 2.3% ค่าเงินบาทจะอยู่ที่ 33.2 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์
และอัตราดอกเบี้ยจะเป็นขาขึ้น โดยปัจจัยฉุดรั้งเศรษฐกิจที่สำคัญคือ เศรษฐกิจโลก
ความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทย และหนี้ครัวเรือน
 
 
 
ดีมาก (5)
ดี (4)
ปานกลาง (3)
พอใช้ (2)
แย่ (1)
 
 
                 กรุงเทพโพลล์โดยศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพร่วมกับคณะเศรษฐศาสตร์
เปิดเผยผลสำรวจความเห็น นักเศรษฐศาสตร์จากองค์กรชั้นนำ 28 แห่ง จำนวน 60 คน
เรื่อง “คาดการณ์ทิศทางเศรษฐกิจและการส่งออกปี 2558” โดยเก็บข้อมูลระหว่างวันที่
3-10 พฤศจิกายน 2557 ที่ผ่านมา พบว่า
 
                  นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 75.0 คาดว่าเศรษฐกิจโลกในปี 2558
จะขยายตัวดีกว่าปีนี้ โดยคาดว่าจะขยายตัวได้ ร้อยละ 3.5
มีเพียงร้อยละ 11.7
ที่คาดว่าจะแย่กว่าปีนี้ เช่นเดียวกับเศรษฐกิจไทยที่ร้อยละ 95.0 คาดว่าจะขยายตัว
ดีกว่า ปีนี้ และคาดว่าจะขยายตัวได้ร้อยละ 3.8
มีเพียงร้อยละ 1.7 ที่คาดว่า
เศรษฐกิจไทยจะแย่กว่าปีนี้
 
                 สำหรับ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2558 คาดว่าโดยเฉลี่ยจะอยู่ที่
ระดับร้อยละ 2.3 ส่วนทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายนักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ
46.7 คาดว่า ธปท. จะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายจากระดับปัจจุบันไปสู่
ระดับ ร้อยละ 2.50 ภายในสิ้นปี 2558
ขณะที่ร้อยละ 33.3 คาดว่า ธปท. จะคงอัตรา
ดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับปัจจุบัน (ร้อยละ 2.00) ตลอดปี 2558 ด้านค่าเงินบาท
ร้อยละ 51.7 คาดว่าค่าเงินบาทในปีหน้าจะอ่อนค่าลง โดยจะเคลื่อนไหวอยู่ที่
ระดับ 33.2 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐโดยเฉลี่ย
ขณะที่ร้อยละ 23.3 คาดว่าค่าเงินบาท
จะแข็งค่าขึ้น ในส่วนของดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index)
ร้อยละ 50.0 เห็นว่า SET Index ปี 58 ยังเป็นขาขึ้น
โดยกรอบการเคลื่อนไหว
ของดัชนีอยู่ในช่วง 1,452 -1,683 จุด ขณะที่ร้อยละ 13.3 เห็นว่าจะเป็นขาลง
 
                 สำหรับภาคส่งออกในปีหน้านั้น นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 81.7 คาดว่าการส่งออกจะขยายตัวดีขึ้น
และคาดว่าจะขยายตัวได้ร้อยละ 3.7 มีเพียงร้อยละ 3.3 ที่คาดว่าการส่งออกจะแย่กว่าปีนี้ นอกจากนี้ร้อยละ 35.0
เชื่อว่าการส่งออกที่ชะลอตัวในปัจจุบันเป็นผลมาจากตลาดโลกที่ชะลอตัว 46% มาจากสินค้าไทยแข่งขันไม่ได้ 37%
และมาจาก ปัจจัยอื่นๆ 17%
 
                 สำหรับสิ่งที่เห็นว่าภาครัฐควรช่วยเหลือภาคส่งออก มีดังนี้

  อันดับ 1 ให้ความช่วยเหลือด้านการวิจัยและพัฒนา เน้นสร้างนวัตกรรม สร้าง Brand
             และพัฒนาตัวสินค้า
  อันดับ 2 ขยายตลาดต่างประเทศให้กว้างขึ้นเพื่อลดการพึ่งพาตลาดหลัก ส่งเสริมการค้าแบบ
            G2G และ แบบ G2B รวมถึงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศให้มากขึ้น
  อันดับ 3 ให้ความช่วยเหลือในการปรับปรุงเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
 
                 ส่วนปัจจัยที่นักเศรษฐศาสตร์มองว่าจะส่งผลกระทบและฉุดรั้งเศรษฐกิจไทยปี 2558 ที่สำคัญ คือ

  อันดับ 1 ร้อยละ 70.0 เศรษฐกิจโลกในภาพรวมที่ยังชะลอตัว
  อันดับ 2 ร้อยละ 66.7 คือปัญหาความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยในตลาดโลก
  อันดับ 3 ร้อยละ 63.3 เป็นปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนของไทย
 
 
                 (โปรดพิจารณารายละเอียดของผลสำรวจดังต่อไปนี้)
 
             1. เศรษฐกิจโลกปี 2558 จะขยายตัวเป็นอย่างไรเมื่อเปรียบเทียบกับปี 2557

ร้อยละ
 
75.0
คาดว่า เศรษฐกิจโลกปี 2558 จะดีกว่าปี 2557 และจะขยายตัวร้อยละ 3.5
11.7
คาดว่า เศรษฐกิจโลกปี 2558 จะแย่กว่าปี 2557 และจะขยายตัวร้อยละ 2.3
13.3
ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ

               หมายเหตุ : ใช้ค่าเฉลี่ยเป็นอัตราการขยายตัวคาดการณ์
 
 
             2. เศรษฐกิจไทยปี 2558 จะขยายตัวเป็นอย่างไรเมื่อเปรียบเทียบกับปี 2557

ร้อยละ
 
95.0
คาดว่า เศรษฐกิจไทยปี 2558 จะดีกว่าปี 2557 และคาดว่าจะขยายตัว
ร้อยละ 3.8
1.7
คาดว่า เศรษฐกิจไทยปี 2558 จะแย่กว่าปี 2557
3.3
ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ

               หมายเหตุ : ใช้ค่าเฉลี่ยเป็นอัตราการขยายตัวคาดการณ์
 
 

             3. อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2558
โดยเฉลี่ยจะเท่ากับร้อยละ 2.3

 
 
             4. ในปี 2558 ทิศทางอัตราดอกเบี้ย นโยบายจะมีการปรับเปลี่ยนไปในลักษณะใดในภาพรวม
                  เมื่อเทียบกับปัจจุบันที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ร้อยละ 2.00


ร้อยละ
 
46.7
คาดว่า ธปท. จะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายจากระดับปัจจุบันไปสู่ระดับ
ร้อยละ 2.50 ภายในสิ้นปี 2558
33.3
คาดว่า ธปท. จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับปัจจุบัน(ร้อยละ 2.00)
ตลอดปี 2558
8.3
คาดว่า ธปท. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจากระดับปัจจุบันลงไปสู่ระดับ
ร้อยละ 1.75 ภายในสิ้นปี 2558
11.7
ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ

               หมายเหตุ : ใช้ค่ากลางเป็นอัตราดอกเบี้ยคาดการณ์
 
 
             5. ค่าเงินบาทใน ปี 2558 จะเคลื่อนไหวในทิศทางใด

ร้อยละ
 
51.7
คาดว่า ค่าเงินบาทเฉลี่ยในปี 2558 จะอ่อนค่ากว่าปี 2557 และคาดว่าจะอยู่ที่
ระดับ 33.2 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐ
23.3
คาดว่า ค่าเงินบาทเฉลี่ยในปี 2558 จะแข็งค่ากว่าปี 2557 และคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.0 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐ
25.0
ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ

               หมายเหตุ : ใช้ค่าเฉลี่ยเป็นค่าเงินบาทคาดการณ์
 
 
             6. ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) ในปี 2558 มีโอกาสที่จะปรับเปลี่ยน
                 ไปในทิศทางใดเมื่อเปรียบเทียบดัชนี SET Index ณ วันที่ 21 ตุลาคม 57 ที่ค่าดัชนีเท่ากับ
                 1,524.89 จุด


ร้อยละ
 
50.0
เห็นว่า SET Index ปี 58 เป็นขาขึ้น
  โดย จุดสูงสุดของปีคาดว่าดัชนีจะเท่ากับ 1,683 จุด
    จุดต่ำสุดของปีคาดว่าดัชนีจะเท่ากับ 1,452 จุด
13.3
เห็นว่า SET Index ปี 58 เป็นขาลง
  โดย จุดสูงสุดของปีคาดว่าดัชนีจะเท่ากับ 1,597 จุด
    จุดต่ำสุดของปีคาดว่าดัชนีจะเท่ากับ 1,414 จุด
36.7
ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ

                   หมายเหตุ : ใช้ค่าเฉลี่ยคาดการณ์ SET index
 
 
             7. การส่งออกของไทยในปี 2558 จะขยายตัวเป็นอย่างไร เมื่อเทียบกับปี 2557
                 (ในรูปของเงินดอลล่าร์สหรัฐ)

ร้อยละ
 
81.7
การส่งออกของไทยปี 2558 จะดีกว่าปี 2557 และคาดว่าจะขยายตัวได้
ร้อยละ 3.7
3.3
การส่งออกของไทยปี 2558 จะแย่กว่าปี 2557 และคาดว่าจะไม่ขยายตัวถึงติดลบ
ร้อยละ 3
15.0
ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ
 
 
             8. การส่งออกที่ลดลง เป็นผลมาจากอะไรมากกว่ากัน ระหว่างตลาดโลกหดตัว หรือสินค้าไทย
                 แข่งขันไม่ได้ หรือมาจากปัจจัยอื่นๆ

ร้อยละ
 
65.0
ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ
35.0
เห็นว่า การส่งออกที่ลดลงมาจาก…
  ตลาดโลกที่หดตัวหรือชะลอตัว 46%
  สินค้าไทยที่แข่งขันไม่ได้ 37%
  ปัจจัยอื่นๆ 17% (ได้แก่ การเมืองในประเทศ/ปัญหาเฉพาะของแต่ละ
อุตสาหกรรม เช่น กุ้ง/กฎระเบียบการค้า/การย้ายฐานการผลิต
/ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ/พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน/สถานการณ์
การเมืองต่างประเทศ/ภัยธรรมชาติ/คู่แข่งเพิ่ม/ตลาดการเงินที่ผันผวน
/ราคาเชื้อเพลิงสูงขึ้น/ประเทศคู่ค้าต่อต้านการรัฐประหาร)

                   หมายเหตุ : ใช้ค่าเฉลี่ยแสดงสาเหตุที่ทำให้ส่งออกลดลง
 
 
             9. ข้อแนะต่อภาครัฐในการช่วยเหลือภาคส่งออก

อันดับ 1
ให้ความช่วยเหลือด้านการวิจัยและพัฒนา เน้นสร้างนวัตกรรม สร้าง Brand และพัฒนาตัวสินค้า
อันดับ 2
ขยายตลาดต่างประเทศให้กว้างขึ้นเพื่อลดการพึ่งพาตลาดหลัก ส่งเสริมการค้า
แบบ G2G แบบ G2B รวมถึงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศให้มากขึ้น
อันดับ 3
ให้ความช่วยเหลือในการปรับปรุงเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
อันดับ 4
ลดขั้นตอนการส่งออก ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์
อันดับ 5
ให้ความช่วยเหลือเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ
อื่นๆ
ได้แก่ ช่วยพัฒนาฝีมือแรงงาน ดูแลค่าเงินให้มีเสถียรภาพ สร้างความเชื่อมั่นนักลงทุน
ลดการแทรกแซงตลาด ส่งสัญญาณที่ถูกต้องให้กับเกษตรกร ลดมาตรการระยะสั้น
เน้นแก้ปัญหาระยะยาว ประชาสัมพันธ์ให้ต่างประเทศเข้าใจสินค้าไทย เข้าใจบรรยากาศ
ทางการเมืองของประเทศไทย รวมถึงเสนอให้ภาครัฐอยู่เฉยๆ
 
 
             10. ปัจจัยใดจะส่งผลกระทบและฉุดรั้งเศรษฐกิจไทยปี 2558 (ตอบได้มากกว่า 1 ข้อ)

ร้อยละ
 
70.0

เศรษฐกิจโลกในภาพรวมที่ยังชะลอตัว

66.7

ความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยในตลาดโลก

63.3

หนี้ภาคครัวเรือนของไทย

36.7

ปัญหาการเมือง/การชุมนุมประท้วง/เสถียรภาพของรัฐบาล

31.7
อัตราดอกเบี้ยที่คาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้น
30.0
ค่าเงินบาทที่คาดว่าจะแข็งค่าขึ้นหรือผันผวนมากขึ้น
25.0
ราคาน้ำมันที่คาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้น
23.3
ปัญหาภัยธรรมชาติ/ภัยพิบัติทางธรรมชาติ
20.0
หนี้สาธารณะของไทย
20.0
ปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน
16.7
การเปิดเสรีทางการค้า ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มการค้าอาเซียน(AEC) ข้อตกลง TPP เป็นต้น
3.3
ปัญหาสิ่งแวดล้อม เช่น กรณีมาบตาพุด และแหลมฉบัง เป็นต้น
8.3
อื่นๆ (โปรดระบุ) ความเชื่อมั่นในรัฐบาล/การร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่/การขึ้นดอกเบี้ย
ของ FED, BOE/การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐไม่เดินหน้า/กำลังซื้อ
ภายในประเทศที่ลดลง
5.0
ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ
 
 

** หมายเหตุ:  รายงานผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์ฉบับนี้   เป็นการสำรวจความเห็นส่วนตัวของ
                     นักเศรษฐศาสตร์ซึ่งมิได้สื่อถึงแนวนโยบายขององค์กรที่นักเศรษฐศาสตร์สังกัดอยู่แต่อย่างใด

 
 
รายละเอียดการสำรวจ
วัตถุประสงค์ในการสำรวจ:
                  เพื่อสะท้อนความคิดเห็นนักเศรษฐศาสตร์ต่อทิศทางเศรษฐกิจและการส่งออกปี 2558 ให้กับหน่วยงาน
ภาครัฐและภาคเอกชน ในการนำผลสำรวจไปใช้ประกอบการวางนโยบายเศรษฐกิจและธุรกิจ ให้สอดรับกับสภาวการณ์
ที่เปลี่ยนแปลงจากทั้งเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกในปีที่จะถึงนี้
 
กลุ่มตัวอย่าง:
                  เป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่สำเร็จการศึกษาทั้งระดับปริญญาตรีและปริญญาโทในสาขาเศรษฐศาสตร์
(กรณีสำเร็จการศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์เฉพาะปริญญาตรี หรือปริญญาโท หรือปริญญาเอก อย่างใดอย่างหนึ่ง
จะต้องมีประสบการณ์ในการทำงานด้านวิเคราะห์/วิจัย/หรืองานที่เกี่ยวข้องที่ต้องใช้ความรู้ความสามารถด้าน
เศรษฐศาสตร์อย่างน้อย 5 ปีจนถึงปัจจุบัน)
ที่ทำงานอยู่ในหน่วยงานด้านการวิเคราะห์ วิจัยเศรษฐกิจระดับชั้นนำ
ของประเทศ จำนวน 28 แห่ง ได้แก่ ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจ
และสังคมแห่งชาติ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร
สำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้ากระทรวงพาณิชย์ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(TDRI) ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ สำนักงานคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตร
ล่วงหน้า ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ธนาคารกรุงไทย ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย ธนาคารธนชาต
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารทหารไทย บริษัทหลักทรัพย์เอเชียพลัส บริษัทหลักทรัพย์ภัทร
บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกรุงไทย คณะเศรษฐศาสตร์
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คณะวิทยาการจัดการและสารสนเทศศาสตร์
มหาวิทยาลัยนเรศวร สำนักวิชาเศรษฐศาสตร์และนโยบายสาธารณะมหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ คณะวิทยาการจัดการ
มหาวิทยาลัยขอนแก่น และคณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
 
วิธีเก็บรวบรวมข้อมูล:
                  การสำรวจนี้เป็นการวิจัยโดยการเลือกตัวอย่างประชากรโดยไม่อาศัยหลักความน่าจะเป็น
(Non-probability sampling) แต่ละหน่วยตัวอย่างที่จะได้รับการเลือก จึงเป็นการเลือกตัวอย่างประชากรแบบเจาะจง
(Purposive sampling) และดำเนินการรวบรวมข้อมูลโดยการส่งแบบสอบถามออนไลน์ไปยังนักเศรษฐศาสตร์
ในหน่วยงานที่กำหนดภายในระยะเวลาที่กำหนด
 
ระยะเวลาในการเก็บข้อมูล:  : 3 – 10 พฤศจิกายน 2557
 
วันที่เผยแพร่ผลสำรวจ: 27 พฤศจิกายน 2557
 
สรุปข้อมูลพื้นฐานของกลุ่มตัวอย่าง:
ตารางข้อมูลประชากรศาสตร์
 
จำนวน
ร้อยละ
ประเภทของหน่วยงานที่กลุ่มตัวอย่างทำงานอยู่:    
             หน่วยงานภาครัฐ
31
51.7
             หน่วยงานภาคเอกชน
21
35.0
             สถาบันการศึกษา
8
13.3
รวม
60
100.0
เพศ:    
             ชาย
35
58.3
             หญิง
25
41.7
รวม
60
100.0
อายุ:
 
 
             26 – 35 ปี
16
26.7
             36 – 45 ปี
23
38.3
             46 ปีขึ้นไป
21
35.0
รวม
60
100.0
การศึกษา:
 
 
             ปริญญาตรี
2
3.3
             ปริญญาโท
42
70.0
             ปริญญาเอก
16
26.7
รวม
60
100.0
ประสบการณ์ทำงาน:
 
 
             1 - 5 ปี
7
11.7
             6 - 10 ปี
19
31.7
             11 - 15 ปี
9
15.0
             16 - 20 ปี
9
15.0
             ตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป
15
25.0
             ไม่ระบุ
1
1.6
รวม
60
100.0
 
ติดตามกรุงเทพโพลล์ผ่าน twitter ได้ที่  twitter bangkokpoll
Download PDF file:  
 
ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์)    โทร. 0-2350-3500 ต่อ 1770-1776